ปัจจุบันการขนส่ง มีอยู่ 3 ประเภทด้วยกัน คือการขนส่งทางบก การขนส่งทางน้ำ การขนส่งทางอากาศ ตัวเลือกการขนส่งทั้ง 3 ทาง มีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของผู้ประกอบการ หรือผู้ที่จะส่งสินค้า ว่ามีความต้องการรวมถึงความเหมาะสมของสินค้าอย่างไร แต่ทุกวันนี้การขนส่งที่ได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ การขนส่งทางอากาศ (Air Transportation) หรือการขนส่งทางเครื่องบินนั่นเอง
การขนส่งทางอากาศนี้มีความสำคัญมาก กับการขนส่งระหว่างประเทศเพราะสามารถทำได้รวดเร็ว สะดวก และปลอดภัย โดยเฉพาะการขนส่งอาหารสด อย่างผัก ผลไม้ ที่ช้ำง่าย จึงต้องใช้ความระมัดระวัง ในส่วนของความเร็วในการขนส่ง ซึ่งการขนส่งทางเครื่องบินนี้ก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างดี
ข้อดีของการขนส่งของทางเครื่องบิน
1. ใช้เวลาน้อย
2. ตารางการบินที่แน่นอน ทำให้ส่งของได้ค่อนข้างตรงเวลา
3. ทำให้การขนส่งระหว่างประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว
4. ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการสร้างคลังเก็บสินค้านำเข้า – ส่งออก
5. นำเนินเอกสารการขนส่งรวดเร็ว
6. สามารถเข้าไปในที่ที่อยู่ไกลได้
7. ช่วยลดต้นทุนของบรรจุภัณฑ์ เพราะการขนส่งทางอากาศไม่ต้องหีบห่อ อะไรให้มากมาย
8. ใน 1 วัน สามารถขนส่งได้หลายเที่ยว
ลักษณะสินค้าที่เหมาะกับการส่งแบบ Air Transportation
- ลักษณะที่เป็นแบบสมัยนิยม เช่น เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย
- ลักษณะที่เน่าเสียง่าย เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้
- ลักษณะที่ต้องการอย่างเร่งด่วน เช่น อะไหล่รถ อะไหล่เครื่องบิน อะไหล่เรือ
- ลักษณะที่มีราคาแพง เช่น เพชร ทองคำ พลอย หยก ทับทิม ของสะสมโบราณ
- ลักษณะที่ต้องใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น อาวุธสงคราม
- ลักษณะที่เป็นที่ต้องการของตลาดตามฤดูกาล
และสินค้าอีกหลายอย่างที่เหมาะกับการขนส่งทางอากาศ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและกฎของแต่ละสายการบิน โดยสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่อยู่ในกลุ่มของสินค้าอันตรายหรือสินค้าไวไฟ สินค้าที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ที่จะขนส่งทางอากาศ เช่น น้ำมัน ไม้ เป็นต้น
ขั้นตอนส่งสินค้าด้วยเครื่องบิน
1. เตรียมข้อมูลของสินค้า เช่น น้ำหนัก ขนาด จำนวน สนามบินปลายทาง
2. แพ็คสินค้าและเตรียมเอกสาร บรรจุสินค้าที่ต้องการลงกล่อง พร้อมเอกสาร Invoice and Packing List ที่ใช้แนบในการเคลียร์ที่สนามบินปลายทาง
3. ลงทะเบียนกับกรมศุลกากร ยื่นทะเบียนนำเข้า – ส่งออก สินค้า เข้าระบบของกรม
4. นำสินค้าที่เตรียมไว้ไปยังสนามบิน พร้อมทั้งยื่นเอกสารและโหลดของเข้าเครื่อง
5. ส่ง Airway Bill ให้ผู้รับสินค้าปลายทาง โดยทางสายการบินจะเป็นผู้ออกใบให้ Airway Bill มี 2 ประเภท คือ Master Air Waybill ที่ออกโดยผู้ประกอบการขนส่ง ที่เป็นผู้รับผิดชอบหากสินค้าเสียหาย และ House Air Waybill ออกโดยบริษัทนายหน้าที่รวมสินค้า ของลูกค้าไว้หลายๆ รายด้วยกัน แต่มีบิลเพียงใบเดียว
6. เมื่อของถึงสถานีปลายทาง ให้ผู้รับติดต่อที่สายการบินนั้น เพื่อขอเอกสารไปดำเนินกับกรมศุลกากรต่อ พร้อมรับสินค้า